วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio Analysis)

1.การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)
1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) 
อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL) 
วัด ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว
1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio) 
อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียน 
หรือ( Quick Ratio = CA - Inventory )/CL 
เป็น การวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุด ออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว
1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover) 
อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover) 
A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ) /ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย 
ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด )/ 2 
หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว
1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period) 
ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ 
ยิ่งต่ำยิ่งดี
แสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้ 
ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ
1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) 
อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory) 
สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2 
หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว
1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า 
ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover) 
ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี
2.ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)
1.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) 
1.2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin) 
1.3 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 
1.4 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity or ROE)
อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)(%) = ขายสุทธิ - ต้นทุนขาย หรือ SALES - COGS / ขายสุทธิ SALES 
= กำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit /ขายสุทธิ SALES 
ยิ่งสูงยิ่งดี
อัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)(%) = กำไรจากการดำเนินงาน(Operating Profit Margin) /ขายสุทธิ (SALES)
ยิ่งสูงยิ่งดี
อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ขายสุทธิ (SALES) 
ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไร หลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้หมดแล้ว
ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE %) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) 
ยิ่ง สูงยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนในส่วนของเจ้าของ จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจากการดำเนินการของกิจการนั้นในอัตราส่วนเท่าไร หากมีค่าสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการหากำไรสูงด้วย
Dupont Equation 
ROE (%) = NP (or EAT) = (EAT/SALES) (SALES/ASSETS) (ASSETS/EQUITY) /Equity 
หรือ ROE (%) =รายได้จากการขาย สินทรัพย์ทั้งหมด= กำไรสุทธิ X รายได้จากการขาย X สินทรัพย์ทั้งหมด / ส่วนของผู้ถือหุ้น 
= (ความสามารถในการหากำไร) (การใช้เงินทุน) (ความสามารถในการหาทุน) 
หรือ สมการนี้เท่ากับ 
ROE (%) = (Net Profit Margin) (Total Asset Turnover) (Financial Leverage)
3. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio)
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /สินทรัพย์รวม (Total Assets) 
ยิ่ง สูงยิ่งดี เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการ ดำเนินงาน ว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด หากมีค่าสูง แสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร (ROFA) = กำไรสุทธิ (Net Profit or NP) /รวมสินทรัพย์ถาวร (Fix Assets) 
อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover) 
อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)(ครั้ง) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset) 
ยิ่งสูงยิ่งดี
อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) 
อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) (ครั้งหรือเท่า) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์รวม (Total Assets) 
จำนวน ครั้งสูง ดี เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมด (TA) เมื่อเทียบกับยอดขาย (SALES) ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์มากเกินความต้องการ
4. อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio)
เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด 
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) (เท่า) = หนี้สินรวม (Total Debt) /ส่วนของเจ้าของ (Equity) 
ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูง 
แสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ
ความ สามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) (เท่า) = {กำไรสุทธิ (NP) + ภาษีเงินได้ (Tax) - ดอกเบี้ยจ่าย(Interest)} /ดอกเบี้ยจ่าย (Interest) 
เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง
อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout) = เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend /share) /กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) 
แสดงถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของธุรกิจ 
อัตราส่วนที่กล่าวมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพื่อท่านจะได้พิจารณางบการเงินได้ในระดับหนึ่ง

สัญญาณเตือนภัยจากการวิเคราะห์งบการเงิน 
1.ขาดทุนมากๆ และติดต่อกันหลายปี 
2.ระยะเวลาการเก็บหนี้นานขึ้น 
3.อัตราหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของสูงขึ้นเร็วมาก 
4.สินค้าคงคลังสูงมากผิดปกติ 
5.ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น 
6.ยอดขายสูงขึ้น แต่กำไรลดลง 
7.หนี้สูญเพิ่มขึ้น 
8.รายงานผู้สอบบัญชีผิดปกติ เปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่ 
9.ขายสินทรัพย์ของบริษัท เพื่อสร้างกำไรให้เข้าเป้าในระยะสั้น

ขอบคุณ : www.pawoot.com

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การลงทุนกับสุมาอี้

 การลงทุนกับสุมาอี้


      ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 ตลาดหลักทรัพย์ก็พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง จาก 1,224 จุด ซึ่งปรับตัวขึ้นถึง 1,600 จุด ในวันที่ 26 กันยายน 2557ในระยะเวลาแค่ 9 เดือนเท่านั้น ปรับตัวขึ้นถึง 367 จุด หรือ 30% ผมเฝ้ามองดู หุ้นหลายตัวได้ปรับตัวขึ้นอย่างดุเดือด หุ้นบางตัวปรับตัวไปหลายนับ 100%-200%ในเวลาไม่นานนัก บางตัววิ่งทะลุ 1,000% ด้วยซ้ำ เช่น ABC DIMET เป็นต้น ผมเห็นผู้คนมากมายที่ทั้งเคยและไม่เคยลงทุนในตลาดหุ้นมาก่อน ทะยอยกันขนเงินมา เก็งกำไรกันอย่างเมามันส์ หลาคนทำเงินได้หลายสิบหลายร้อยเปอร์เซ็น ในเวลาไม่กี่วัน บางคนได้ในวันเดียเสียด้วยซ้ำ หลายคนฝ้าหา หุ้น เด็ดตามเพจหุ้นต่างๆ หรือ หาจากห้องไลน์ ที่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด 
      ธรรมดาในตลาดขาขึ้นหุ้นส่วนใหญ่ มักจะปรับตัววขึ้นกัน แม้แต่เลือกหุ้น ตามสัญญาณเทคนิค ก็ไม่ค่อยจะผิดมากนักหรอกครับ เพราะในตลาดขาขึ้นมันง่ายครับ บางครั้งแค่ MACD ตัดขึ้นก็เล่นได้แล้ว หรือ บางท่านเลือกมั่วๆ หรือเลือกเพราะได้ฟังมาจากวงใน(ที่วงในจริงไม่จริงก็ไม่รู้นะครับ)ก็ได้กำไร กูรูหรือเทพใบ้หุ้น นักหาข่าววในวงการก็เกิดขึ้นมาอย่างมากมาย บางคนเรียกเก็บเงินเพื่อเข้าห้องไลน์ของเขาเป็นการหาเงินไปอีก เมื่อตลาด ยังคงพุ่งไปรื่อย ผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมก็มากขึ้นๆ เสียงเล่าเสียงลือจากคนใกล้ตัวทั้งเพื่อนทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องที่ทำงานเริ่มลอยมา "น้องมาเล่นหุ้นดิ" "ตลาดหุ้นนี่ง่ายจริงๆ ได้เงินง่ายๆเลยนะ" ว่าแล้ววก็พากันขนเงินเก็บเข้ามาลงทุนกันอย่างสนุกสนาน  ตอนเข้าเปิดเข้าไปหาหุ้นเด็ดตามเพจตามมห้องไลน์ "วันนี้เจ้าเข้าตัวไหน" "จะลากตัวไหนวันนี้" แล้วตอนเย็นรับเงินไปกินขนม
        แต่แล้วมันก็มาถึงครับ วันที่ตลาดมีการปรับฐาน ตลาดหุ้นไ่สามารถขึ้นอย่างเดียวโดยปราศจากการพักบ้าง เหมือนคนวิ่งมาไกลก็เหนื่อยนะครับ ต้องพักก่อนจึงวิ่งต่อ นรกเริ่มมาเยือนครับ ในวันที่ตลาดปรับตัวลง วันละ 10 จุด 20 จุด ผมสังเกตหน้าวอลหรือตามโซเชี่ยลเนตเวริค ตามเพจต่างๆ คนที่ได้กำไรกันเยอะแยะมากมาย เริ่มมีให้เห็นน้อยลง หลายคนเริ่มบ่นขาดทุน ติดดอยบ้างอะไรบ้าง ตลาดหุ้นมันไม่สนหรอกครับว่าคุณเป็นใคร เป็นคนดีคนเลว เวลาได้มันก็ได้จริง เวลาเสียมันก็เสียจริงไม่มีไว้หน้าเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็อยากจะเตือนไว้นะครับ ตลาดหลักทรัพย์คือ Zero-sum game มีคนได้ก็มีคนเสีย มันไม่ง่ายหรอกครับ คนที่ลงทุนก็ต้องการกำไร มีคนได้ต้องมีคนเสียครับ ทุกคนก็ต้องการได้เงินกันทั้งนั้นไม่มีใครอยากเสียหรอกครับ แต่จากสถิติ 90% เสีย 10 % เท่านั้นที่จะได้กำไร แล้วเค้าจะปล่อยได้พวกเราได้เงินกันง่ายๆหรือครับ ไม่มทางแน่นอน งั้นสิ่งไหนล่ะที่จะทำให้คุณรอดพ้นจากตลาดอันโหดร้ายแห่งนี้ คำตอบก็คือความรู้ครับ คุณอาจจะโชคดี ได้ข่าววงในมาบ้าง โชคดีเลือกหุ้นถูกตัวบ้าง แต่มันไม่เสมอไปหรอกครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะได้ข่าวที่ถูก หรือ มั่วหุ้นถูกตัวไปตลอด เหมือนการสุ่มทางคณิตศาสตร์ มันไม่มีทางหรอกที่เราจะได้หัว หรือ ก้อย อย่างเดียว เพราะฉะนั้นคุณต้องเรียนรู้ครับ ไม่ต้องจำกัดหรอกครับว่าจะเป็นเทคนิค หรือ พื้นฐาน แบบไหนก็ดีทั้งนั้นครับ ถ้าคุณเข้าใจมันจริงๆใช้ได้แน่นอนครับ ต้องคนหาตัวเองให้เจอ ว่าคุณชอบแบบไหน ชอบเทคนิค ชอบพื้นฐาน หรือ ชอบหุ้นเทรินอะราว ชอบ เดย์เทรดชอบหุ้นซิ่ง ชอบหุ้นเต่า ถ้าคุณเข้าใจจริงๆก็ได้ครับ


 http://img2.wikia.nocookie.net/__cb20110915131630/thethreekingdoms/images/3/30/Sima_Yi_-_RTKXII.jpg
      สุมาอี้จากเกมส์ ROTK12
    อ่าว แล้วสุมาอี้(ซื่อหม่าอี้,司马懿)  มาเกี่ยวอะไรกับการลงทุน แถมรุปมาจากเกมส์เสียด้วยแหนะ ตั้งชื่อว่าสุมาอี้กับการลงทุนมันก็ต้องเกี่ยวแหละครับ ฮ่าๆ อันนี้อยากจะเตือนพวกที่เทรดบ่อยๆครับ ต้องเทรดวันละหลายๆรอบ มันหยุดไม่ได้ มันก็จริง มีคนทำได้จริงได้กำไรด้วย แตคนที่กระโดดเข้าตลาดมาเลย โดยหวังแต่ว่าจะรวยๆ เรียนรู้ วิธีการเทรดทางดทางหนึงมาแล้ว ใส่เลย แหลกลาน ขาดทุน กำไรไม่รู้ หนูขอลุยก่อนนะค่ะ 

   สุมาอี้ชื่อรองชงต๊ะ คือ นายทหารนายพลคนสำคัญของวุยก๊ก ในยุคสามก๊กครับ เหตุที่ผมยกมาก็เพราะว่าเค้าคือคนที่รู้จักการรอครับ สุมาอี้ เกิดในตระกูลขุนนางที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน มีพ่อเป็นถึงเจ้าเมือง แต่เล็ก เขามีสติปัญาดีขยันศึกษาล่ำเรียนตามตำรา เม่งจื้อ ขงจื้อ ตำราพิชัยสงคราม แตกฉานการศึก การปกครอง หลังจากบ้านเมืองวุ่นวายแตกออกเป็นก๊กเป็นเหล่า สุมาอี้ได้มีโอกาสเข้าทำงานกับก๊กของโจโฉ ตัวสุมาอี้ฉลาดและทะเยอทะยาน ตลอดยุคของโจโฉที่เจ้าเล่ห์ไม่แพ้กัน สุมาอี้ไม่เคยได้มีตำแหน่งสำคัญเลย ตราบจนสมัยโจผี ทายาทโจโฉ ซึ่งเป็น เพื่อนรุ้นน้องของสุมาอี้เองจึ่งดได้รับตำแหน่งสำคัญขึ้นตามลำดับ หลังจากโจผีได้ตายลง ลูกชายของโจผี ชื่อโจยอย ขึ้นครองราชย์ สุมมาอี้ทวีอำนาจขึ้นทุกขณะ ในใจของเขายังคงทะเยอทะยานไม่จางหาย แต่ โจยอย ฮ่องเต้น้อย เป็นคนมีปัญญา และเครือญาติ สกุลโจยังครองอำนาตอยู่อีกมาก สุมาอี้จึงยังคงรับใช้อย่างภักดี(ไม่ออกลาย)  เมื่อโจยอยตายตั้งแต่อายุยังไม่มากนัก ได้ฝากฝังบุตรชายโจฮองไว้กับ โจซองแม่ทัพใหญ่สกุลโจ
   โจซองเป็นใหญ่หวาดเกรงสุมาอี้ จึงทำการริบอำนาจทางการทหารสุมาอี้ เลื่อนไปเป็นตำแหน่งลอย ราชครู สุมาอี้ให้ลูกชายสองคนลาออก ไปอยู่บ้าน แอบซ่องสุมกำลังไว้ ถึง 8 ปี เต็ม สุมาอี้ไม่ก้าวก่ายการเมืองเลย ได้แต่เฝ้ารอเวลาที่เหมาะสม ที่จะพลิกแผ่นดินตระกูลโจ ให้ได้ แล้วเวลานั้นก็มาถึง โจซอง ส่งคนมาดูอาการสุมาอี้ สุมาอี้ผู้เจ้าเล่ห์ก็แกล้งทำเป็นป่วยหนักบ้าใบ้ จนทำให้โจซอง สบายใจ นำเสด็จฮ่องเต้โจฮองและพรรคพวกของตนออกจากเมืองไปล่าสัตว์ เพราะเบาใจคิดว่าหมดเสี้ยนหนามแล้ว
    หมาป่าที่เฝ้ารอโอกาสมาอย่างยาวมีหรือจะปล่อยให้พลาดโอกาสนี้ สุมาอี้นำกำลังที่ซ่องสุมไว้ บุกเข้าเมืองทำรัฐประหารทันที เป็นผลให้โจซอง และตระกูลโจ หลายคน ถูกประหาร ไปตามๆกัน เป็นการปิดฉากการกุมอำนาจของสกุลโจ และการขึ้นสู่อำนาจเต็มของสุมาอี้ หลังจากนั้นสกุลโจก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ จนหลานของสุมาอี้สุมาอี้ได้ ปลดฮ่องเต้ ขึ้นเป็นฮ่องเต้เสียเอง ตระกูลสุมาภายหลังได้ครองใต้หล้าแต่เพียงผู้เดียว
   


        แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการลงทุนละ(วะ) ฉากหนึงที่ผมชอบากในภาพยนต์ สามก๊ก ปี 2010 นี้ คือ ฉากที่สุมาอี้ทำรัฐประหาร แล้วโดนโจซองร้องด่าสุมาอี้ ว่าภายในวันเดียวเจ้าทำลายทุกอย่างที่สกุลโจหลายชั่วคนสร้างมา สุมมาอี้ ตอบว่า "ชีวิตข้าอาจเคยแกว่งดาบแค่ครั้งเดียว แต่ข้าใช้เวลานับสิบปีเพื่อลับดาบนั้น" โดนใจผมมากมายครับประโยยคนี้

     การลงทุนก็เหมือนกันครับ เราควรใช้เวลากับการลับสมอง (เหมือนสุมาอี้ลับดาบ) ไว้อยู่เสมอ เมื่อเห็นโอกาสดีจริงๆ เมื่อคุณเข้าใจมันจริงๆเท่านั้น คุณจึงควรออกแอ๊คชั่นในตลาด ไม่ต้องทำเยอะ ทำเมื่อคุณเห็นว่ามีโอกาสชนะเท่านั้นเหมือนสุมาอี้ที่รอคอยเวลาล้มล้างสกุลโจ รอจังหวะที่เหมาะสม แล้วค่อยเล่นกับมัน ให้ทีเดียวได้เงินเต็มที่ไปเลย ไม่ว่าคุณจะเรียนพื้นฐานหรือเทคนิค เหมือนกันหมดครับ ถ้าเรียนพื้นฐาน ก็รอคอยจนกว่าจะถึงจังหวะที่ใช้จริงๆ หุ้นตัวที่เล็งไว้เข้าตามเกณฑ์คุณหมด ถ้าทางเทคนิคคือคุณดูเทรนมันออกหมด โอกาสที่คุณจะผิดลดน้อยลง เวลานี้พวกมันกำลังหย่อนยาน คุณพร้อมโจมตีแล้ว ลุยเลยครับ ด้วยความรู้ที่คุณลับมา จะช่วยเพิ่มโอกาสมในการรบชนะให้กับคุณ ศึกษาให้มากเข้าไว้ รอโอกาสที่ดี แล้ว ฉับเดียวเอาให้ขาด ให้รวยกันไปเลยครับ ถ้าผิดพลาดก็รอโอกาสต่อไป แล้วเข้าไปลุยกับมันใหม่ คุณอาจจะบอกว่า ทำไมคนที่เล่นเดย์เทรดที่กำไรกันมากมาย แถมมีชื่อเสียงก็มีอยู่ถมไปในตลาด ผมคิดว่ามีคนหลายประเภทครับ
1. ไม่ได้เก่งจริงแต่ขาดทุนเหมือนกันแต่ไม่พูด สังเกตนะครับ คนรอบตัวใครๆก็เก่งกำไรเยอะๆทั้งนั้น แล้วใครขาดทุนละเนี่ย
2. เก่งจริง แต่เขาเฝ้ารอครับ จังหวะที่เขาเข้าใจ เขาก็ทำการซื้อ หรือ เปิดสถาน long short ใน tfex หรือ ตลาดอื่นๆ คนที่เล่นแล้วได้กำไรจริงๆ เขาไม่เล่นทุกวัน หรอตลอดเวลาหรอกครับ เราโอกาส จนถึงจังหวะที่เขาเข้าใจ มีโอกาสแพ้น้อย โอกาสชนะสูงกว่า เขาจึงเล่น (แน่สิ ถ้าโอกาสแพ้มากกว่าจะเล่นทำไมใช่ไหมครับ)
    บ่นมาตั้งยาวก็ยากะพูดแค่นี้แหละครับ หมั่นพากเพียรศึกษาไว้ ตัวไหน ที่เราเห็นราคามันวิ่งไปมหาศาลล เราเกิดกิเลา โลภขึ้นมา ขอให้นึกถึงสุมาอี้ที่เฝ้ามองสกุลโจ ครองเมือง เวลานี้เป็นของเขา หุ้นราคาไปแล้ว ถ้าเรายังไม่เข้าใจมันจริงๆ ไม่มาสามารถบอกได้ว่ามันจะมีโอกาสขึ้นหรือลงมมากกว่ากัน ก็อย่าไปตามด้วยความโลภครับ ปล่อยมันไป ถ้าเรายังจะเข้าซื้อ หรือ เปิดสถานะไปโดยที่เรายังไม่เข้าใจมันจริงๆ แต่เข้าเพราะเราโลภ เราอาจได้กำไรครับแต่ในระยะยาวผมฟันธงได้เลยว่าเจ๊งแน่ๆ เราไม่มีทางโชคดีเสมอไปหรอกครับ เรามานั่งลับดาบซ่องสุมกำลังพล(ความรู้)ของเราไว้ดีกว่าครับ รอโอกาสเหมาะๆ พลิกแผ่นดินให้เป็นของเรา!!!!

"TPIPL" คอนเฟิร์ม Bearish Convergence

 

คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุน: "เตรียม stop loss"

การเกิด Bearish Convergence มักจะเกิดในช่วง Wave 5 เนื่องจากมีคนเข้ามาสนใจมากมาย ทำให้ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ว่าโมเมนตัมกลับไม่ส่ง คล้ายกับเราเข็นครกขึ้นภูเขาเมื่อใช้แรงเฮือกสุดท้ายดันครกขึ้นไปจะขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนหมดแรงดันต่อครกก็จะกลิ้งกลับลงมา คล้ายกับการคอนเฟิร์ม Bearish Convergence ในช่วงนี้จะเป็นช่วงล่อแมงเม่าให้เข้าซื้อเป็นจำนวนมาก จนไม่มีคนซื้อในตลาดแล้วจะเหลือแต่คนขาย ราคาของหุ้นจึงลดลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากร่ายมนต์ออกทะเลไปอย่างยาวนาน ก็จะกลับมาที่การวิเคราะห์ "TPIPL" อย่างจริง ๆ จัง ๆ สักหน่อยแล้วกัน เนื่องจาก "TPIPL" คอนเฟิร์ม Bearish Convergence เราต้องหยิบเครื่องมือ fibonacci retracement ออกมาใช้สักหน่อย จะพบว่าราคาได้ทะลุ 23.6% หลังจากนี้น่าจะลงไปทดสอบที่ 38.2% สำหรับคนที่ถืออยู่แนะนำว่าน่าจะขายทำกำไรบางส่วนไปก่อน ส่วนผู้ที่ขาดทุนหรือทนดูกำไรลดลงต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ไหว ก็น่าจะ stop loss เสียตั้งแต่ตรงนี้ แต่หากใครหวังกินกำไรคำใหญ่เลยทีเดียว แนะนำว่าถือต่อได้ครับ สำหรับทางเทคนิคหากนับ elliot wave ไม่ผิด (ย้ำนะครับว่าหากไม่ผิด) ก็น่าจะเห็น "TPIPL" ตัวนี้เนี่ยลงมาที่ราว ๆ 1.6 เพื่อพักตัว จากนั้นก็จะทะยานขึ้นไปต่อ แต่หาก ทะลุ 1.6 ลงมาเนี่ย ก็ควรพิจารณาขายหุ้นตัวนี้ แล้วมาดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ จะดีกว่านะครับ

"การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรตัดสินใจให้ดีทุกครั้ง"

8 บทเรียนพลิกชีวิต วอร์เรน บัฟเฟตต์ จากยาจกสู่มหาเศรษฐี


ในอดีตใครจะไปรู้ว่าจากเด็กอายุแค่ 6 ขวบ เดินขายหมากฝรั่ง จะเติบโตกลายมาเป็นมหาเศรษฐีชื่อดังระดับโลก กลายเป็นราชาแห่งตลาดหุ้นได้ เขาผู้นั้นคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นัก ลงทุนในหุ้นระยะยาว ซึ่งเป็นการลงทุนที่ใช้เวลาตั้งแต่ 1 - 10 ปี เงินถึงจะงอกเงย และที่สำคัญบริษัทที่เขาซื้อหุ้นไม่มีใครคิดว่าจะมีโอกาสเติบโต แต่หลายปีต่อมากลับทำกำไรให้มากกว่าเดิมถึง 10 เท่า ทำให้เขาได้รับฉายาว่า “วอร์เรน บัฟเฟตต์คือผู้หยั่งรู้ตัวจริง”
กว่าจะมาถึงจุดนี้เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย และซึ่งสิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ทุกวันนี้คือ 8 บทเรียน ที่เขาใช้ในการดำเนินชีวิต  

1.ทุกความสำเร็จต้องใช้เวลา
ทุกความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ในวันเดียว วอร์เรน บัฟเฟตต์จึงมองไกลเสมอและตระหนักดีว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา “ผมไม่ค่อยซื้อหุ้นตัวในกระแสที่มาเร็ว ไปเร็วหรอกนะแต่ผมซื้อหุ้นที่อาจไม่เปิดขายอีกเลยจนกว่าจะถึงห้าปีถัดไป” และสิ่งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ทำก็คือเขาศรัทธาในทุกการตัดสินใจ และเมื่อเขาอดทนรอและหมั่นเติมเต็มความรู้ เขาก็ทำสำเร็จซะแทบทุกครั้งเสมอ

2.รู้ให้ลึกก่อนลุยและเลือกลงทุนกับบริษัทที่มีศักยภาพ
วอร์เรน บัฟเฟตต์จะนำเงินไปสนับสนุนธุรกิจที่มีศักยภาพเท่านั้นเสมอ เขาหาข้อมูลทุกครั้งก่อนลงสนามจริงไม่ใช่ว่าเขารวยแล้วก็ใช้เงินซื้อหุ้นแต่ ละตัวมามั่วๆแต่ทุกครั้งที่จะทำอะไร วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้คิดอย่างถี่ถ้วนเสมอและศึกษาเป็นอย่างดี


3.เมื่อคนอื่นปอดแหก นี่ล่ะจังหวะทองของเรา
ทุกคนคงเคยได้ยินสำนวนที่ว่า “โอกาสทางธุรกิจมีอยู่ทุกที่” แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ไข่วคว้าได้เพราะพวกเค้า “กลัวจะคว้าน้ำเหลว” แต่วอร์เรน บัฟเฟต์คือจอมแหวกแนวเพราะเมื่อคนอื่นเริ่มถอยห่างจากการลงทุน เศรษฐกิจดูน่ากลัว อาเฮียกลับเข้าไปกว้านซื้อหุ้นในตลาดอย่างกล้าหาญและเน้นซื้อเฉพาะบริษัท เจ๋งๆ จากนั้นกำไรก็เข้ามาหาเขา หลังจากวิกฤติผ่านพ้นไป…แหม่เรียกได้ว่ารู้จักพลิกวิกฤติ ให้เป็นโอกาสจริง ๆ


4.ลงมือทำตั้งแต่วันนี้
วอร์เรน บัฟเฟต์เปรียบเปรยไว้ได้น่าสนใจ เขาถามว่ารู้มั้ยว่าร่มเงาของต้นไม้ที่คอยบังแดดให้คุณมาจากไหน…ก็มาจากคน ที่ปลูกไว้เมื่อหลายสิบปีก่อนน่ะสิ และนี่ถือเป็นหลักคิดที่ลึกซึ้งที่ต้องการจะบอกว่า ถ้าคิดจะทำอะไร ก็จงทำตั้งแต่วันนี้ เพราะแม้ว่ามันจะยังไม่เห็นผลทันทีและทำให้เราท้อใจ แต่ถ้าคุณไม่ล้มเลิกไปก่อนผลลัพธ์มันย่อมออกมา เช่นเดียวกับต้นไม้ที่แผ่ร่มเงา


5.ทำในสิ่งที่รู้
แม้การลองอะไรแปลกใหม่จะไม่ผิด และทำให้เราได้เปิดโลก แต่วอร์เรน บัฟเฟต์เผยว่าเขามักจะลงทุนในสิ่งที่ศึกษามาเป็นอย่างดีเท่านั้น หรือสิ่งที่คุ้นเคยเพราะอะไรที่เรามีความเข้าใจ เรามักจะทำออกมาได้ดีเสมอ นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่า ทุกคนไม่ต้องตามกระแสกันก็ได้ ไม่ใช่ว่าอะไรฮิตก็แห่ไปทำ แต่คุณต้องรู้จักมีแนวทางของตัวเอง แล้วคุณจะโดดเด่นเหนือใคร แถมยังมีความสุขด้วยเพราะคุณมีวิธีฝ่าฟันในแบบฉบับที่เป็นของตัวเอง


6.จงตั้งเป้าว่า “ข้าจะเทพให้ได้”
นักธุรกิจชื่อ ก้องโลกเล่าว่า ทุกคนควรตั้งเป้าหมายไว้และพยายามพิชิตมันให้ได้ จากนั้นก็ทำให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ เพราะนั่นจะทำให้คุณแกร่งขึ้นมั่นใจขึ้น และถ้าจะให้ดีพยายามพาตัวเองไปอยู่กับคนที่เก่งกาจกว่า เพราะแม้นั่นจะทำให้เราดูโง่เง่าไปบ้าง (เพราะตามคนอื่นไม่ทัน) แต่เราก็จะได้เรียนรู้สิ่งดีๆจากคนเหล่านี้เสมอ แล้ววันหนึ่งคุณอาจจะเทียบเท่า หรือแซงคนเก่งๆพวกนี้ได้


7.อย่าอู้ ต้องมีวินัย
บางทีเมื่อคนเราเริ่มเก่ง ขึ้นหรือมีเรื่องอื่นๆมารบกวน มันก็มักทำให้เราขาดวินัยได้ เช่น ตอนซื้อหุ้นเริ่มวิเคราะห์ข้อมูลไม่ละเอียดเหมือนเคย หรือทำอะไรไม่รอบคอบเท่าแต่ก่อนเพราะขี้เกียจ แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่อาจนำหายนะมาได้ในภายหลัง ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรในชีวิตควรมีวินัยและสม่ำเสมอ ซึ่งนั่นจะทำให้เราเฉียบแหลมอยู่ตลอดเวลา


8.ใจรัก
เมื่อคุณไม่มีใจรักในสิ่งที่ทำ สุดท้ายสิ่งนั้นก็จะหายไปเพราะเราไม่มีแก่ใจจะไปฝ่าฟัน ฉะนั้นแทบทุกเรื่องไม่ว่าจะลงทุนในหุ้น หรือการตามล่าความฝันในรูปแบบอื่นของชีวิต หากเรามีใจรัก เราก็มักจะพร้อมทุ่มเทให้มันแบบสุดชีวิตเสมอ และรางวัลของคนที่ทุ่มเทจนถึงที่สุดก็คือ “ความสำเร็จของชีวิต”



ที่มา: meekhao

เกี่ยวกับผู้เขียน

บล๊อคนี้เขียนขึ้นเนื่องจากตัวผมและเพื่อน กำลังศึกษาตลาดลทุนในไทยและต่างประเทศ จากนั้นคิดจะหาสถานที่เพื่อแชร์ความรู้ต่าง ๆ ที่ได้ศึกษามาทั้งด้านเทคนิคและพื้นฐาน

วันเริ่มลงทุน: 8 สิงหาคม 2557
เจและเพื่อน
แมงเม่ารายย่อยในตลาด

"Mill" เกิด convergence!?


คำแนะนำ "ผู้ถืออยู่ควรจับตามอง ส่วนผู้ที่กำลังจะเข้าถือรอ Pattern Fail ก่อน"

ผม ลองนับ Elliot wave ของ Mill คาดว่า อาจจะอยู่ใช่ช่วงของ "minor wave 5" ของ "Intermediate wave 1" และกำลังจะเข้าสู่ "Intermediate wave 2" และมีอีกจุดนึงที่น่าสนใจคือ "Bearich Convergence" ที่เกิดขึ้น  ต้องรอดูต่อไปอีกว่า Pattern ที่เกิดขึ้นจะ Confirm หรือไม่?  หากราคายังสูงขึ้นพร้อม RSI ที่สามารถทำ New High ได้ก็ถือว่าจบกันไป แต่ถ้าไม่ก็จะ Confirm "Bearich Convergence" สำหรับรอบนี้ครับ  Elliot Wave ที่ผมนับ จะเป็นไปตามที่วางไว้หรือเปล่า หรืออาจจะต้องเปลี่ยนการนับเป็นแบบอื่น ๆ สิ่งที่พิสูจน์ได้คือ "เวลา"

"การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรตัดสินใจให้ดีทุกครั้ง"